น้ำมันปลาใหม่
นิวทริไลท์ ทริปเปิล โอเมก้า
น้ำมันปลา...แหล่งที่ดีที่สุดของกรดไขมันโอเมก้า-3
กรดไขมันโอเมก้า-3 เป็นสารอาหารสำคัญในลำดับต้นๆ ที่คนนึกถึง เพราะคุณประโยชน์มากมายที่มีต่อร่างกาย โดยเฉพาะต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เราจึงควรกินอาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า- 3 เช่น ปลาทะเลชนิดต่างๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 อย่างเพียงพอ
แหล่งกำเนิดของกรดไขมันโอเมก้า-3
ไขมันในอาหารเป็นแหล่งของกรดไขมัน ทั้งกรดไขมันไม่จำเป็นและกรดไขมันจำเป็น เช่น กรดไลโนอิก (Linoeic Acid) และกรดไลโนเลนิก (Linolenic Acid) ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโต รักษาสมดุลของผิวหนัง ควบคุมการเผาผลาญโคเลสเตอรอล และยังเป็นสารตั้งต้นในการผลิตพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของร่างกาย นอกจากนี้ ไขมันยังมีหน้าที่ในการลำเลียงและดูดซึมวิตามินชนิดที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค รวมทั้งแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ในบางกรณีไขมันจากอาหารยังเป็นแหล่งของวิตามินเองด้วย เช่น น้ำมันถั่วเหลืองเป็นแหล่งสำคัญของวิตามินอี
น้ำมันปลาคือไขมันชนิดหนึ่งที่สกัดได้จากส่วนต่างๆ (ยกเว้นตับ) ของปลาทะเลที่มีไขมันสูง เช่น แซลมอน ทูน่า แมคเคอเรล แมนฮาเดน เทราท์ และพอลล็อก และเป็นแหล่งกำเนิดที่ดีที่สุดของกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ชื่อว่า โอเมก้า-3 ที่พบมากในปลาทะเลมีอยู่ 2 ชนิด คือ อีพีเอ (EPA หรือ Eicosapentaenoic Acid) และดีเอชเอ (DHA หรือ Docosahexaenoic Acid)
น้ำมันปลาที่ผ่านกระบวนการกลั่นและการสกัดยางออกมีสภาพเป็นน้ำมันบริสุทธิ์หรือเป็นไตรกลีเซอไรด์บริสุทธิ์ ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นกรดไขมันไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของน้ำหนัก มีทั้งกรดไขมันอิ่มตัว กรดไขมันไม่อิ่มตัวหนึ่งตำแหน่ง และกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง กรดไขมันทั้งสามกลุ่มนี้พบได้ในน้ำมันพืชและไขมันสัตว์บก โดยส่วนใหญ่เป็นชนิดโอเมก้า-6 (Omega-6) ในน้ำมันพืชบางชนิดอาจมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ชนิด ALA (Alpha-Linolenic Acid) บ้างส่วนอีพีเอและดีเอชเอไม่พบในน้ำมันพืช ทั้งยังพบได้น้อยในไขมันจากสัตว์บกและสัตว์ปีก ขณะที่ไขมันจากปลาทะเลและสัตว์ทะเลมีกรดไขมันโอเมก้า-6 ไม่มากนัก แต่พบกรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณสูง จึงเป็นที่ยอมรับกันว่าการบริโภคปลาทะเลเป็นประจำรวมถึงการบริโภคน้ำมันปลาส่งผลให้การเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดในคนกลุ่มต่างๆ ลดลง
หลายคนอาจสงสัยว่า เราจำเป็นต้องบริโภคปลาทะเลเพื่อให้ได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 ทุกวันหรือไม่ ปัจจุบันคนบริโภคกรดไขมันโอเมก้า-6 เพิ่มสูงขึ้นมากจากน้ำมันพืชที่ใช้ประกอบอาหาร ทำให้สัดส่วนของกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่อกรดไขมันโอเมก้า-6 ที่ได้รับลดลง ซึ่งถ้าร่างกายได้รับกรดไขมันโอเมก้า-6 ในปริมาณมากเกินไป จะส่งผลเสียต่อร่างกายคือ ทำให้เลือดข้นหนืดมากขึ้นและอาจก่อให้เกิดลิ่มเลือดได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การบริโภคปลาทะเลเพื่อให้ได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 เพิ่มขึ้นเพื่อลดฤทธิ์จากกรดไขมันโอเมก้า-6 ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพมากกว่า
คุณประโยชน์ของกรดไขมันโอเมก้า-3 จากน้ำมันปลาต่อสุขภาพด้านต่างๆ
คุณประโยชน์ต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด (Coronary Vascular Disease หรือ CVD)
ลดการเต้นผิดปกติของหัวใจ
ลดการจับตัวกันของเกล็ดเลือด
ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
ลดหลอดเลือดแดงแข็ง
ลดความดันโลหิต
เสริมการทำงานของไนตริกออกไซด์ต่อการพักของหลอดเลือด
ลดภาวะอักเสบ
กรดไขมันโอเมก้า-3 จากปลาทะเลให้ผลดีต่อการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ในขณะที่โอเมก้า-3 จากพืชให้ผลน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม การเสริมโอเมก้า-3 ด้วยการบริโภคปลาทะเลควรระวังปัญหาโลหะหนักและสารพิษในปลาทะเลบางชนิด โดยอาจเปลี่ยนมาเสริมในรูปน้ำมันปลาที่มีคุณภาพ ในกรณีผู้ป่วยโรคหัวใจแนะนำให้บริโภคอีพีเอและดีเอชเอ 1 กรัมต่อวัน หากมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงควรได้รับอีพีเอและดีเอชเอรวม 2 - 4 กรัมต่อวันภายใต้การดูแลของแพทย์ สำหรับคนทั่วไปปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีช่วยลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดควรบริโภคประมาณ 300 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งอีพีเอและดีเอชเอต่างช่วยลดการเกิดลิ่มเลือดได้
คุณประโยชน์ต่อการต้านการอักเสบ
โรคข้อรูมาติซึม ช่วยลดอาการทรมานจากการปวดข้อในกรณีของโรคข้อรูมาติซึม (Rheumatoid Arthritis) โดยมีการนำกรดไขมันโอเมก้า-3 มาใช้แทนยาลดการปวดและอักเสบกลุ่มเอ็นเสด (Non-Steroid Anti-inflammatory Drugs: NSAIDs)
กลุ่มโรคความผิดปกติในทางเดินอาหาร ปัจจุบันมีความพยายามนำกรดไขมันโอเมก้า-3 ไปใช้ลดการอักเสบในกลุ่มโรคความผิดปกติในทางเดินอาหาร เช่น การเกิดแผลในลำไส้ใหญ่ และโรคโครนส์ อีกด้วย
โรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคเรื้อนกวางหรือโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ซึ่งเป็นโรคผิวหนังที่มีอาการอักเสบเกิดขึ้นร่วมด้วย การรับประทานน้ำมันปลาที่มีอีพีเอและดีเอชเอปริมาณสูงระยะเวลาหนึ่ง จะสามารถช่วยบรรเทาอาการของโรค ทำให้อาการคันและการอักเสบหายไป
นอกจากนี้ การเสริมดีเอชเอหรือกรดไขมันโอเมก้า-3 ยังมีประโยชน์อีกหลายด้าน เช่น ช่วยให้การสร้างเซลล์ประสาท เซลล์สมอง และดวงตาของทารกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเรื่องความจำและโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ ช่วยลดอาการซึมเศร้า รักษาโรคหอบหืด
โอเมก้า 3 สูตรใหม่! ดีอย่างไร
จุดเด่น ของโอเมก้า 3
โอเมก้าเข้มข้นขึ้น 3 เท่า
ได้รับดีเอชเอ (DHA) อีพีเอ (EPA) และเอแอลเอ (ALA) ที่จำเป็นต่อร่างกาย
เพิ่มการดูดซึม ได้ถึง 3 เท่า
ด้วยเทคโนโลยี SEDDS* ทำให้ร่างกายดูดซึมโอเมก้า 3 ได้มากขึ้นถึง 3 เท่า คุณจึงได้รับประโยชน์สูงสุดจากการบริโภคในทุกแคปซูล
ลดการเรอเป็นกลิ่นคาวปลา
ด้วยนวัตกรรมการผลิตใหม่ SEDDS* ทำให้คุณรับประทานได้อย่างสบายใจ ลดการเรอเป็นกลิ่นคาวปลา
ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องในบทความ
ประโยชน์ ของโอเมก้า 3
ดูแลหัวใจและหลอดเลือด
บำรุงสมอง เสริมความจำ
บำรุงสายตา
บรรเทาอาการข้ออักเสบ
ลดรอยแดงและการอักเสบของผิว
* SEDDS (Self-Emulsifying Drug Delivery Systems) คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้สารที่ละลายในไขมัน เช่น โอเมก้า 3 ดูดซึมได้ดีขึ้นในร่างกาย เมื่อรับประทานเข้าไป สารที่ละลายในไขมันจะรวมกับน้ำย่อยกลายเป็นอนุภาคขนาดเล็ก ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น
โอเมก้า 3 ดีกว่าเดิม 3 เท่า
รู้หรือไม่ "Friend of the Sea" คืออะไร?
Friend of the Sea (FOS) เป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยมีพันธกิจในการอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยทางทะเลทั่วโลก และตรวจสอบความยั่งยืนของการประมง รวมถึงผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาโอเมก้า 3 ซึ่ง FOS ให้การรับรองว่า ปลาและวัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้ในผลิตภัณฑ์นี้มาจากแหล่งที่มีการจัดการอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การรับรองนี้เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะปกป้องระบบนิเวศทางทะเล และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่าผลิตภัณฑ์นี้มีคุณภาพและปลอดภัย
- โครงสร้างแคปซูล (เจลาตินชนิดรับประทานได้)
- สารให้ความข้นเหนียว (กลีเซอรีน)
- อิมัลซิไฟเออร์ (เลซิติน)
- สารป้องกันการเกิดออกซิเดชั่น (โทโคเฟอรอลผสมชนิดเข้มข้น)
- ข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร: มีน้ำมันปลา น้ำมันจากเมล็ดเจีย
กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก (Alpha-Linolenic Acid: ALA) เป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในพืช กรดไขมันชนิดนี้สามารถเปลี่ยนเป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ชนิดอื่น ๆ ได้ โดยปกติแล้วร่างกายไม่สามารถสร้างกรดไขมันชนิดนี้ได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานอาหารจำพวก เมล็ดพืช ถั่วต่างๆ
โอเมก้า 3 ทั้ง 3 ประเภท
กรดไขมันโอเมก้า 3 ส่งเสริมการทำงานของตา สมอง และระบบประสาท และเป็นสารอาหารที่ต้องบริโภคเข้ามาเท่านั้น เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้
โอเมก้า 3 ทั้ง 3 ประเภท
กรดไขมันโอเมก้า 3 แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ EPA, DHA และ ALA โอเมก้า 3 ประเภท ALA นั้นพบได้ในน้ำมันพืช เช่น เมล็ดแฟลกซ์ วอลนัต และจมูกข้าวสาลี รวมทั้งถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดพืช และผลไม้
ร่างกายของเราสามารถเปลี่ยน ALA บางชนิดเป็น EPA และ DHA ได้ แต่ก็เปลี่ยนได้ในปริมาณน้อยมาก ดังนั้นจึงแนะนำให้รับประทานอาหารที่มี EPA และ DHA ด้วย
ปลาและอาหารทะเลเป็นอาหารประเภทหลักที่มี EPA และ DHA ดังนั้น ถ้าคุณไม่ชอบรับประทานปลา คุณสามารถรับประทานอาหารเสริมน้ำมันปลาแทนได้
แล้วโอเมก้า 3 ในผักผลไม้ล่ะ
คำถามที่ผู้คนมักจะถามกันมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ คนที่ถือมังสวิรัติจะได้รับโอเมก้า 3 อย่างเพียงพอได้อย่างไร
การรับประทานอาหารที่มี ALA ในปริมาณมากเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ไม่รับประทานปลาอย่างแน่นอน ดังนั้นหากคุณไม่รับประทานปลา ก็ให้รับประทานอาหารประเภทผักผลไม้ที่มีโอเมก้า 3 แทน
ความสมดุลระหว่างโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6
กรดไขมันโอเมก้า 6 เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ
อย่างไรก็ตาม การหาความสมดุลระหว่างโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ก็มีความสำคัญ
หากร่างกายได้รับโอเมก้า 6 มากกว่าโอเมก้า 3 ร่างกายจะดูดซึมโอเมก้า 6 มากขึ้น และดูดซึมโอเมก้า 3 น้อยลง
โอเมก้า 6 พบในถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดพืช และน้ำมันพืช เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และดอกคำฝอย
อาหารมังสวิรัติมักจะมีโอเมก้า 6 มากกว่าโอเมก้า 3 ซึ่งทำให้โอเมก้าทั้งสองชนิดมีความสมดุลได้ยาก
แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร คำตอบคือ ให้เพิ่มอาหารประเภทผักที่มีโอเมก้า 3 มากขึ้น เช่น วอลนัต เมล็ดแฟลกซ์ และเจีย และอาจจะเพิ่มสาหร่ายลงในอาหาร โดยสาหร่ายเป็นพืชชนิดเดียวที่มีกรดไขมัน DHA และ EPA
ผลิตภัณฑ์นี้ให้กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 ได้แก่ อีพีเอและดีเอชเอ ใน 1 แคปซูลมีน้ำมันปลา 744 มก. ประกอบด้วย กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (อีพีเอ, EPA) 286 มก. กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (ดีเอชเอ, DHA) 214 มก. กรดไขมันอิ่มตัว 0 มก.
https://www.amway.co.th/p/nutrilite-fish-oil?srsltid=AfmBOopLA7OwwXkGE8DFRgBvJAQf4LIT_6AqlFPmyDW4eDHCzAEc865xhttps://achieve.amway.co.th/th/articles/health1-nov-2024-15
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น